วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

เพลง เรื่องจริงในความทรงจำ



เพลง เรื่องจริงในความทรงจำ

ศิลปิน ซิน Sin (singular)
เนื้อเพลง เรื่องจริง ซิน Sin (singular)
MV เพลง เรื่องจริง ซิน Sin (singular)


เธอคงพอรู้ ในสิ่งเหล่านี้
โดยไม่มีถ้อยคำบอกไว้
เธอคงพอรู้ จากทุกความเป็นไป
ในวันที่สองเราใกล้กัน
แม้ในวันนั้น ยั่งยืนเพียงฝัน
เป็นแค่เพียงเมื่อวานผ่านไป
เธอคงพอรู้ไม่ว่านานเพียงใด
ไม่นานเกินไปให้ใจฉันจำ


จะเก็บมันเอาไว้ในใจ เมื่อครั้งมีเธอ
และฉันรู้สึกครั้งนี้ยังไง
ให้เป็นความคิดถึง แม้นานเท่าไหร่
เธอจะอยู่ในใจ เป็นเรื่องจริงในความทรงจำ


จะเก็บมันเอาไว้ในใจ เพราะฉันไม่อาจ
ฝืนย้อนคืนวัน ให้หวนได้ใหม่
ทำได้เพียงคิดถึง นับจากนี้ไป
เธอจะอยู่ในใจ เป็นเรื่องจริงในความทรงจำ

จะเก็บมันเอาไว้
จะเก็บมันเอาไว้ในใจ เมื่อครั้งมีเธอ
และฉันรู้สึกครั้งนี้ยังไง
ให้เป็นความคิดถึง แม้นานเท่าไหร่
เธอจะอยู่ในใจ เป็นเรื่องจริงในความทรงจำ

จะเก็บมันเอาไว้
จะเก็บมันเอาไว้…


เหตุผลที่ชอบ   เพราะความหมายดีมาก เป็นการเล่าถึงความรักในอดีตที่เคยมีกัน เเต่เมื่อวันหนึ่งต้องจากกันไป เเต่ความทรงจำก็ยังไม่จางหายไปไหนยังอยู่ในใจเสมอมมา เเม้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหรก็ยังอยู่ในความทรงจำตลอดมา!!!!! 


ขอขอบคุณมิวสิควิดีโอจาก YOUTUBE

วันอาทิตย์ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2556

 จากไมโครซอฟท์วินโดว์สมาสู่อูบุนตูแห่งแอฟริกาใต้ - รอบรู้ไอที รอบโลกเทคโนโลยี

 
 
             เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผมได้มีโอกาสได้ไปนำเสนอผลงานวิจัยที่ประเทศแอฟริกาใต้ นึกถึงเทคโนโลยีสารสนเทศในประเทศแอฟริกาใต้ มีสิ่งหนึ่งที่มีน่าสนใจ นั่นก็คือ Ubuntu (อูบุนตู) ถ้าไม่ได้พูดถึงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศแล้ว อูบุนตู จะหมายถึงหลักปรัชญาของชาวแอฟริกาใต้ที่เน้นการใช้ชีวิตที่ให้คนเห็นใจกันและให้ความเท่าเทียมกับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นในครอบครัว หมู่เพื่อนบ้าน หรือแม้แต่เพื่อนมนุษย์
            แต่พอมาพูดถึงทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ อูบุนตู จะคือ ระบบปฏิบัติการ (Operating System) หนึ่งที่พัฒนามาจากระบบ Unix (ระบบปฏิบัติการต่าง ๆ ก็เช่น Mac OS X ของค่าย แอปเปิล หรือ วินโดว์สของค่าย ไมโครซอฟท์ นั่นแหละครับ) แต่ อูบุนตู เป็นซอฟต์แวร์เสรีทำให้ผู้ใช้งานสามารถใช้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และสามารถแก้ไขดัดแปลงได้โดยเสรี โดยซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ที่รวมมาใน อูบุนตู นั้นเป็นซอฟต์แวร์เสรีทั้งหมด โดย อูบุนตู มุ่งเน้นไปที่การเป็นระบบปฏิบัติการสำหรับคนทั่วไป ที่มีโปรแกรมทันสมัย หลากหลาย และมีเสถียรภาพในระดับที่ยอมรับได้ แต่ทุกอย่างให้เป็นซอฟต์แวร์เสรีให้หมด อูบุนตู ได้รับการพัฒนาโดยบริษัท Canonical Ltd ซึ่งเป็นบริษัทของนักธุรกิจมหาเศรษฐีชาวแอฟริกาใต้คนหนึ่ง ชื่อว่า Mark Shuttleworth
        หลายคนอาจจะพอคุ้นข่าวเมื่อปี ค.ศ. 2002 ที่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่ง ที่มีความคิดอยากจะออกไปท่องเที่ยวอวกาศ นั่นแหละครับ คนหนึ่งในกลุ่มนั้น ก็คือ Mark Shuttleworth นั่นเอง โดยถือเป็นชาวแอฟริกันคนแรกที่ได้ขึ้นไปอวกาศ โดยเดินทางไปกับยาน Soyuz TM-34 ของรัสเซีย ซึ่งได้เข้าเทียบท่ากับสถานีอวกาศนานาชาติ Mark Shuttleworth เป็นผู้ใช้ ลินุกซ์ โดยเฉพาะ Debian แต่เขาไม่เพียงแค่เป็นผู้ใช้ทั่ว ๆ ไป เขาได้เริ่มพัฒนา Linux Distribution ตัวใหม่ที่ชื่อ Ubuntu Linux และตั้งบริษัท Canonical Ltd ซึ่งบริษัทนี้แหละครับ ที่เป็นทีมพัฒนาหลักของ อูบุนตู ที่ผมกล่าวถึง โดยก่อนหน้านี้เขาตั้งบริษัท Thawte ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับใบรับรองดิจิทัลและความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ต หลังจากนั้นเขาก็ได้ขายบริษัท Thawte ให้กับ VeriSign ด้วยมูลค่าประมาณ 600 ล้าน USD
        ด้วยความที่ Mark Shuttleworth ต้องการเน้นให้ระบบปฏิบัติการของเขาเน้นหลักซอฟต์แวร์เสรี ทำให้เขาซึ่งเป็นชาวแอฟริกาใต้ ได้ตัดสินใจเลือกหลักปรัชญาของชาวแอฟริกาใต้ที่เน้นการใช้ชีวิตที่ให้คนเห็นใจกันและให้ความเท่าเทียมกับคนอื่น มาเป็นชื่อของระบบปฏิบัติการ ซึ่งก็คือ อูบุนตู นั่นเอง

      อูบุนตู เปิดตัวเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ. 2004 โดยเริ่มจากการแยกตัวชั่วคราวออกมาทำจากโครงการ Debian GNU/Linux โดยมีคนใช้ประมาณ 20 ล้านคนต่อวัน ซึ่งตัวเลขนี้จะเรียกว่าเยอะก็เยอะ แต่ถ้าเทียบกับทางระบบปฏิบัติการอื่น ๆ เช่น Mac OS X ของค่าย แอปเปิล หรือ วินโดว์ส ของค่าย ไมโครซอฟท์ นั้นก็ยังถือว่าน้อยกว่ามาก

     ในส่วนข้อดีของ อูบุนตู ก็คงหนีไม่พ้นความเป็นซอฟต์แวร์เสรี ก็เลยได้ข้อดีตรงผู้ใช้งานสามารถใช้ได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และด้วยความเป็นซอฟต์แวร์เสรี ก็จะไม่มีไวรัสให้กวนใจ แม้จะมีไวรัสเข้าเครื่องก็ไม่สามารถรันได้ เพราะไม่ใช่ระบบปฏิบัติการ วินโดว์ส เพราะไวรัสส่วนใหญ่ในปัจจุบันเขียนให้รันบนระบบปฏิบัติการ วินโดว์ส และรวมไปถึงความเร็วของการบูตเครื่อง ถือว่าเร็วกว่าของระบบปฏิบัติการค่ายอื่นอยู่มาก เพราะบูตแล้วใช้ได้เลย ไม่ต้องรอโหลดโปรแกรม แต่ข้อเสียก็มีเหมือนกันครับ ก็คือระบบภาษาไทยของอูบุนตู ยังไม่สมบูรณ์แบบในบางโปรแกรมและที่สำคัญที่สุดที่ทำให้คนไทยยังไม่ค่อยหันมาใช้กัน ก็คือความคุ้นเคย
     คนที่เพิ่งหัดใช้อาจจะใช้ไม่ถนัดเหมือนระบบปฏิบัติการอื่น ๆ ที่ใช้มาจนคล่องมือ เพราะโดยธรรมชาติแล้วคนส่วนใหญ่จะชอบใช้อะไรที่ชิน ถ้าชิน ถ้าติดแล้ว ก็ไม่อยากจะเปลี่ยนไปใช้อย่างอื่น.

วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

บิตตรวจสอบ ( Parity Bit )
     การเกิดข้อบกพร่องขึ้นได้ภายในหน่วยความจำ ดังนั้น บิตตรวจสอบ หรือพาริตี้บิต จึงเป็นบิตที่เพิ่มเติมเข้ามาต่อท้ายอีก 1ซึ่งถือเป็นบิตพิเศษที่ใช้สำหรับตรวจสอบเเม่นยำเเละความถูกต้องของข้อมูลที่จะจัดเก็บลงในคอมพิวเตอร์

สำหรับบิตตรวจสอบ จะมีวิธีตรวจสอบอยู่ 2 วิธีด้วยกัน คือ
 1.ตรวจสอบบิตภาวะคู่ ( Even Parity )
 2.การตรวจสอบบิตภาวะคี่( Odd Parity)

วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

รหัสเเทนข้อมูล

รหัส Ascll

            เรียกอีกอย่างว่า "รหัสมาตราฐานของสหรัฐอเมริกาเพื่อการเเลกเปลี่ยนสารสนเทศ"
(American Standard Code for Information Interchange) เป็นรหัสอักขระที่ประกอบด้วยอักษรละติน เลขอารบิก เครื่องหมายวรรคตอน และสัญลักษณ์ต่างๆ โดยแต่ละรหัสจะแทนด้วยตัวอักขระหนึ่งตัว เป็นที่นิยมในกลุ่มผู้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ทั่วไป รหัสนี้ได้มาจากรหัสขององค์กรมาตรฐานระหว่างประเทศ (International Standardization Organization: ISO) ขนาด 7 บิท ซึ่งสามารถสร้างรหัสที่แตกต่างกันได้ถึง 128 รหัส (ตั้งแต่ 000 0000 ถึง 111 1111)
            โดยกำหนดให้ 32 รหัสแรกเป็น 000 0000 ถึง 001 1111 ทำหน้าที่เป็นสั่งควบคุม เช่น รหัส 000 1010 แทนการเลื่อนบรรทัด (Line Feed ในเครื่องพิมพ์ เป็นต้น และอีก 96 รหัสถัดไป (32-95) ใช้แทนอักษรและสัญลักษณ์พิเศษอื่นรหัส ASCII ใช้วิธีการกำหนดการแทนรหัสเป็นเลขฐานสิบ ทำให้ง่ายต่อการจดจำและใช้งาน นอกจากนั้นยังสามารถเขียนในรูปของเลขฐานสิบหกได้อีกด้วย

   

รหัส Unicode

    เป็นรหัสมาตราฐานอุตสาหกรรมที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์แสดงผลและจัดการข้อความธรรมดาที่ใช้ในระบบการเขียนของภาษาส่วนใหญ่ในโลกได้อย่างสอดคล้องกันยูนิโคดประกอบด้วยรายการอักขระที่แสดงผลได้มากกว่า 100,000 ตัว พัฒนาต่อยอดมาจากมาตรฐานชุดอักขระสากล Universal Character Set: UCS ยูนิโคดสามารถนำไปใช้งานได้ด้วยชุดอักขระแบบต่าง ๆ ชุดอักขระที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดคือ UTF-8(ใช้ 1 ไบต์ สำหรับอักขระทุกตัวในรหัสแอสกีและมีค่ารหัสเหมือนกับมาตรฐานแอสกี หรือมากกว่านั้นจนถึง 4 ไบต์สำหรับอักขระแบบอื่น)

          ยูนิโคดคอนซอร์เทียม Unicode Consortium ซึ่งเป็นองค์กรไม่เเสวงผลกำไรเป็นผู้รับผิดชอบในการพัฒนายูนิโคด องค์กรนี้มีจุดมุ่งหมายเกี่ยวกับการแทนที่การเข้ารหัสอักขระที่มีอยู่ด้วยยูนิโคดและมาตรฐานรูปแบบการแปลงยูนิโคด (Unicode Transformation Format: UTF แต่ก็เป็นที่ยุ่งยากเนื่องจากแผนการที่มีอยู่ถูกจำกัดไว้ด้วยขนาดและขอบเขต ซึ่งอาจไม่รองรับกับสภาพแวดล้อมหลายภาษาในคอมพิวเตอร์
         ความสำเร็จของยูนิโคดคือการรวมรหัสอักขระหลายชนิดให้เป็นหนึ่งเดียว นำไปสู่การใช้งานอย่างกว้างขวางและมีอิทธิพลต่อการแปลภาษาของซอฟเเวร์คอมพิวเตอร์ นั่นคือโปรแกรมจะสามารถใช้ได้หลายภาษา มาตรฐานนี้มีการนำไปใช้เป็นเทคโนโลยีหลักหลายอย่าง อาทิ เอกซ์เอ็มแอล ภาษาจาวาดอตเน็ตเฟรมเวิร์ก และระบบปฏิบัติการใหม่สมัยใหม่ 

            ขอขอบคุณเนื้อหาจาก


แบบฝึกหัด
จงบอกว่า ชื่อ-สกุล ที่เป็นภาษาอังกฤษ(พิมพ์ใหญ่) แทนด้วยรหัส Ascll ใดบ้าง มีขนาดกี่ไบต์

WUTTICHAI
  0101011101010101010101000101010001000011010010000100000101001001

BOBTHONG

 0100001001001111010000100101010001001000010011110100111001000111

WUTTICHAI BOBTHONG

 0101011101010101010101000101010001000011010010000100000101001001010000000100001001001111010000100101010001001000010011110100111001000111

มีขนาด 18 ไบต์คับ

วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ยุคของคอมพิวเตอร์

 
   ประวัติความเป็นมาของคอมพิวเตอร์

     คอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้เป็นผลมาจากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือในการคำนวณซึ่งมีวิวัฒนาการนานมาแล้ว เริ่มจากเครื่องมือในการคำนวณเครื่องแรกคือ "ลูกคิด" (Abacus) ที่สร้างขึ้นในประเทศจีน เมื่อประมาณ 2,000-3,000 ปีมาแล้ว
เครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine)


   จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2376 นักคณิตศาสต์ชาวอังกฤษ ชื่อ ชาร์ล แบบเบจ (Charles Babbage) ได้ประดิษฐ์เครื่องวิเคราะห์ (Analytical Engine) สามารถคำนวณค่าของตรีโกณมิติ ฟังก์ชั่นต่างๆ ทางคณิตศาสตร์ การทำงานของเครื่องนี้แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนเก็บข้อมูล ส่วนคำนวณ และส่วนควบคุม ใช้ระบบพลังเครื่องยนต์ไอน้ำหมุนฟันเฟือง มีข้อมูลอยู่ในบัตรเจาะรู คำนวณได้โดยอัตโนมัติ และเก็บข้อมูลในหน่วยความจำ ก่อนจะพิมพ์ออกมาทางกระดาษ
   
หลักการของแบบเบจนี้เองที่ได้นำมาพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ เราจึงยกย่องให้แบบเบจเป็น บิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์



 คอมพิวเตอร์สามารถเเบ่งออกเป็น 5 ยุค  
คอมพิวเตอร์ยุคที่ 1 (พ.ศ. 2497-2501) 
The First Genaration 


หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube)
               คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ใช้หลอดสูญญากาศ (Vacuum tube) เป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องยังมีขนาดใหญ่มาก ใช้กระแสไฟฟ้าจำนวนมาก ทำให้เครื่องมีความร้อนสูงจึงมักเกิดข้อผิดพลาดง่าย คอมพิวเตอร์ในยุคนี้ได้แก่ UNIVAC I , IBM 600
เครื่องคอมพิวเตอร์ Mark1
เครื่องคอมพิวเตอร์ ENIAC


คอมพิวเตอร์ยุคที่ 2 (พ.ศ. 2502-2507)
The Second Genaration 
ทรานซิสเตอร์ (Transistor)
               คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้ทรานซิสเตอร์ (Transistor) เป็นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ และใช้วงแหวนแม่เหล็กเป็นหน่วยความจำ  คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กกว่ายุคแรก ต้นทุนต่ำกว่า ใช้กระแสไฟฟ้าน้อยกว่า และมีความแม่นยำ


คอมพิวเตอร์ยุคที่ 3 (พ.ศ. 2508-2513) 
The Third Generation 
  
Integrated Circuit : IC

              





 คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้วงจรไอซี (Integrated Circuit)  เป็นสารกึ่งตัวนำที่สามารถบรรจุวงจรทางตรรกะไว้แล้วพิมพ์บนแผ่นซิลิกอน (Silicon) เรียกว่า "ชิป"


คอมพิวเตอร์ยุคที่ 4 (พ.ศ. 2514-2523)  
The Fourth Generation  



ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor)
              


  คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้วงจร LSI (Large-Scale Integrated Ciruit) เป็นการรวมวงจรไอซีจำนวนมากลงในแผ่นซิลิกอนชิป 1 แผ่น สามารถบรรจุได้มากกว่า 1 ล้านวงจร ด้วยเทคโนโลยีใหม่นี้ทำให้เกิดแนวคิดในการบรรจุวงจรที่สำคัญสำหรับการทำงานพื้นฐานของคอมพิวเตอร์นั่นคือ CPU ลงชิปตัวเดียว เรียกว่า "ไมโครโปรเชสเซอร์" เเละในยุคนี้ได้มีการสร้าง  Supercomputer ที่มีชื่อว่า  CRAY-1 เเละ CRAY X - MP ซึ่งสร้างโดย Research,lnc. ซึ่งมีความเร็วในการคำนวณได้ถึง 100 ล้าน คำสั่งต่อวินาที

  คอมพิวเตอร์ยุคที่ 5 (พ.ศ. 2524-ปัจจุบัน) 
The Fifth Generation 

แขนกลในโรงงานอุตสาหกรรม

         คอมพิวเตอร์ยุคนี้ใช้วงจร VLSI (Very Large-Scale Integrated Ciruit) เป็นการพัฒนาไมโครโปรเซสเซอร์ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ยุคที่ 5 จัดเป็นยุคปัจจุบันที่ใช้ความสามารถของเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับงานด้านฐานความรู้ ระบบผู้เชี่ยวชาญ เเละระบบปัญญาประดิษฐ์  

 สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
       
    จากอดีตถึงปัจจุบัน คอมพิวเตอร์ได้พัฒนามาอย่างรวดเร็วทำให้วิทยาการด้านคอมพิวเตอร์มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา กล่าวได้ว่าโลกของวิทยาการคอมพิวเตอร์นั้นมีการเคลื่อนไหวเสมอ ( dynamics) และไม่ค่อยยืดหยุ่น ( rigid ) มากนัก เช่น ถ้ามีความผิดพลาดเพียงเล็กน้อย บางครั้งอาจเป็นบ่อเกิดปัญหาที่ใหญ่โตมหาศาลได้ นอกจากนี้ยังนับได้ว่าเป็นโลกที่ควบคุมไม่ได้ หรือสามารถจัดการได้น้อย กล่าวคือ ทันทีที่ทำงานด้วยโปรแกรม เครื่องก็ปฏิบัติงานไปตามโปรแกรมด้วยตนเอง ขณะนั้นมนุษย์ไม่สามารถควบคุมได้

ขอบคุณข้อมูลเเละรูปภาพจากwww.thaiwbi.com

ประวัติคอมพิวเตอร์




Charles Babbage



        คงจะเป็นการดีที่จะกล่าวถึงที่มาหรือต้นตระกูลของเครื่องคอมพิวเตอร์ว่าเป็นมาอย่างไร เพื่อที่จะทำให้เราเข้าใคอมพิวเตอร์มากขึ้น คอมพิวเตอร์มีวิวัฒนาการมาจากนิ้วมือมนุษย์ ที่ใช้นิ้วในการนับตัวเลข ใช้ไม้ขีดเขียนบนพื้นดิน หรือใช้ลูกหินมาเรียงต่อกัน ต่อมาได้มีการพัฒนาขึ้นด้วยการใช้เชือกรอยต่อกัน จัดเรียงให้เป็นระบบ (คล้ายกับลูกคิด) หลังจากนั้นก็มีการพัฒนาเครื่องมือต่างๆ ขึ้นมาเพื่อใช้ในการนับ ลักษณะใหญ่ที่คิดกันมักจะเป็นเครื่องยนต์ที่มีกลไก(Mechanics) ที่ประกอบด้วยฟันเฟื่อง รอกและคาน ซึ่งเป็นเครื่องมือที่กึ่งอัตโนมัติ ที่สามารถคำนวณขั้นพื้นฐานได้ ไม่ว่าจะเป็น บวก ลบ คูณ หาร


    ปี 1822 ชาลส์ แบบเบจ (Charles Babbage) ได้ทำการออกแบบเครื่อง Difference Engine โดยได้รับทุนสนับสนุนจากรัฐบาล แต่เครื่อง Difference Engine นี้สร้างไม่เสร็จ เพราะแบบเบจได้ค้นพบความไม่น่าเชื่อถือบางประการในการคำนวณ จึงล้มเลิก และไปคิดเครื่องใหม่ที่ชื่อว่า Analytical Engine ซึ่งประกอบด้วยหน่วยความจำ (Memory Unit) ที่สามารถจัดเก็บตัวเลขและนำไปคำนวณได้


  ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องดังกล่าวยังสามารถพิมพ์ข้อมูลได้อัตโนมัติ สามารถนำเข้าข้อมูลด้วยบัตรเจาะรู (Punched Cards) และใช้ชุดคำสั่งในการควบคุม เครื่อง Analytical Engine นี้ยังมีฟังก์ชั่นหน้าที่หลายอย่างเช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบัน ทำให้ ชาลส์ แบบเบจ (Charles Babbage) ถูกขนานนามให้เป็นบิดาแห่งคอมพิวเตอร์ เป็นต้นมา


Lady  Augusta Ada Byron




     เธอเป็นสตีคนสำคัญที่ช่วยออกเเบบเบจ อีกทั้งได้เสนอเเนวคิดเเละเป็นผู้ที่เขียนโปรเเกรมชิ้นเเรกที่ใช้กับเครื่องดังกล่าว  ต่อมาเธอได้ถูกขนานนามให้เป็น โปรเเกรมเมอร์คนเเรกของโลก นอกจากนี้เธอได้ตั่งชื่อภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาหนึ่งด้วยการใช้ชื่อของเธอ นั่นก็คือ ภาษาเอด้า { Ada }เอดาก็ช่วยเขียนบรรยาย รายละเอียดการทำงานของเครื่องวิเคราะห์ แต่สุขภาพของเธอก็เริ่มมีปัญหา และสุดท้ายก็เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 37 ปี

Herman Hollerith




       ใน 1,884 Hollerith ใช้สำหรับสิทธิบัตรครั้งแรกของเขา (เขาจะได้รับมากกว่า 30 สิทธิบัตรจากสหรัฐอเมริกาในอาชีพและสิทธิบัตรต่างประเทศจำนวนมากของเขา). เขาพัฒนางานต้นเขาทำที่ Massachusetts Institute of Technology ในวิธีการแปลงข้อมูลในบัตร punched ลง impulses ไฟฟ้า. Impulses เหล่านี้ในการเปิดจะเปิดเคาน์เตอร์เครื่องกล. เขาใช้ที่ชกมวยครั้งแรกที่ใช้สำหรับตั๋วบนรถไฟเพื่อให้หลุมใน cards. นี้พบว่าระบบทำงานแต่ตั้งแต่ชกมวยเท่านั้นทำให้หลุมใกล้ขอบของบัตรได้เต็มศักยภาพที่ไม่ถูกใช้
Hollerith ออกแบบ punches ทำพิเศษสำหรับระบบของเขา Hollerith ระบบไฟฟ้าทำเป็นตาราง. เขายังปรับปรุงเครื่องที่อ่านการ์ด. วิศวกรรมการพัฒนาปรับปรุงความถูกต้องของ pin จะผ่านหลุมในบัตรเพื่อให้การเชื่อมต่อไฟฟ้าด้วยปรอทไว้ใต้. ทำให้ไฟฟ้าปัจจุบันเปิดเคาน์เตอร์เครื่องกลและปริมาณของข้อมูลที่สามารถจัดการในแต่ละบัตรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว.
Hollerith ของระบบทดสอบแรกในการทำเป็นตารางสถิติการตายใน Baltimore, New Jersey ใน 1,887 และอีกครั้งใน New York City. ระบบบัตรนี้ได้ใน punched ใช้เวลา 1,890 สำมะโนประชากรสหรัฐอเมริกาแต่ไม่ระบบเท่านั้นที่จะพิจารณาเพื่อใช้กับสำมะโนประชากร. ได้รับรางวัล convincingly ในการแข่งขันมีสองระบบอื่นๆพิจารณา 1,890 สำมะโนประชากรแสดงว่าสามารถจัดการข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว.

Alan Turing



   

  ปี ค.ศ. 1946 ทัวริงก็พบว่าเป็นงานคนละแนวคิดกัน ทางอเมริกาเน้นด้านอิเลกทรอนิกส์ แต่ทัวริงคิดแบบคณิตศาสตร์ ("I would like to implement arithmetical functions by programming rather than by building in electronic components, a concept different from that of the American-derived designs). โครงการตอนนั้นของทัวริง คือเครื่องคำนวณ (computation machine) ที่สามารถเปลี่ยนได้ตามใจชอบจาก numerical work เป็น algebra เป็น code breaking เป็น file handling หรือแม้กระทั่งเกมส์. ปี ค.ศ. 1947 ทัวริงเสนอว่า ต้องมีระบบจัดเก็บข้อมูล และ ชุดคำสั่งคอมพิวเตอร์ต้องขยายตัวเองออกเป็น ชุดคำสั่งย่อย ๆ ได้ โดยการใช้รูปย่อแบบ รหัสย่อ (คำสั่ง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของภาษาโปรแกรม) แต่ปรากฏว่าไม่ได้รับการสนันสนุน

 Konrad Zuse




      Zuse เสร็จเครื่องใน 1,938. มันเป็นกลทั้งหมดมีหน่วยคำนวณประกอบด้วยจำนวนมากสวิตช์เครื่องกลและหน่วยความจำประกอบด้วยชั้นของแถบโลหะระหว่างชั้นของกระจก. หนึ่งในคุณสมบัติใหม่ที่สุดของมันแล้วว่าจะเป็นโปรแกรมโดยเทป punched. เหตุผลหลักว่าทำไม Zuse ประสบความสำเร็จในการสร้างคอมพิวเตอร์กลของเขาที่ Babbage ได้ล้มเหลวคือความจริงที่ Z1 Zuse ของเป็นเครื่อง binary สองตำแหน่งสวิทช์เพื่อแสดง 0 และ 1. แต่กล่าว Zuse ที่ประสบความสำเร็จกับ Z1 เป็นบิตของการพูดเกินจริงสำหรับเครื่องไม่ได้ดี. หน่วยความจำที่มีคุณสมบัติสำเร็จวิธีการที่คำสั่งถูกส่งผ่านเชื่อมโยงกลไม่สำเร็จ.

Prof.Howard H.Aiken




         Howard Aiken ศึกษาที่ University of Wisconsin, Madison ได้รับปริญญาเอกจาก Harvard ใน 1,939. ขณะที่เขาเป็นนักศึกษาบัณฑิตแอาจารย์ในภาควิชาฟิสิกส์ที่ Harvard Aiken เริ่มวางแผนการสร้าง         คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่. แผนการนี้ดำเนินการเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะอย่างยิ่งสำหรับการวิจัยของ Aiken ได้นำไปสู่ระบบของ สมการความแตกต่างซึ่งไม่ตรงกันและวิธีที่สามารถแก้ไขเพียงการใช้เทคนิคเชิงตัวเลข. แต่ปริมาณการคำนวณมือที่เกี่ยวข้องจะถูกเกือบซึ่งห้ามดังนั้นความคิดของ Aikenเพื่อใช้การปรับตัวของ punched เครื่องบัตรที่ได้รับการพัฒนาโดยHollerith.

Dr.John v. Atanasoff & Clifford Berry




      Dr.Jobn Vincent Atansoff , Clifford Berry พ.ศ.2480-2481 ดร.จอห์น วินเซนต์ อตานาซอฟ ( Dr.Jobn Vincent Atansoff) และ คลิฟฟอร์ด แบรี่ ( Clifford Berry) ได้ประดิษฐ์เครื่อง ABC ( Atanasoff-Berry) ขึ้น โดยได้นำหลอดสุญญากาศมาใช้งาน ABC ถือเป็นเครื่องคำนวณเครื่องแรกที่เป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์

Dr.John W.Mauchly & J. Presper Eckert




        จอห์น ดับลิว มอชลีย์ (John W. Mauchly) และ เจ เพรสเพอร์ เอคเกิรต (J. Prespern Eckert) ได้รับทุนอุดหนุนจากกองทัพสหรัฐอเมริกา ในการสร้างเครื่องคำนวณ ENIAC เมื่อปี 1946 นับว่าเป็น "เครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลก หรือคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของโลก"
  ในปี 1946 Maurice Wilkes ที่มหาวิทยาลัย Cambridge ได้มาเยี่ยมชมที่ Moore School และเข้าร่วมรับฟังชุดการบรรยายเรื่องการพัฒนาของอีเล็กทรอนิกส์คอมพิวเตอร์ เมื่อ Maurice ได้กลับมาที่ Cambridge Wilkes ได้ตัดสินใจที่จะสร้างคอมพิวเตอร์ที่ชื่อว่า EDSAC (Electronic Delay Storage Automatic Calculator) ในปี 1949 เครื่อง EDSAC เริ่มใช้งานได้ และเป็นคอมพิวเตอร์ ที่สมบูรณ์แบบในลักษณะที่เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เต็มรูปแบบที่ทำงานได้ และมีการทำงานแบบ Store-Program

Dr.John Von Neumann

File:JohnvonNeumann-LosAlamos.jpg



                ระหว่างปี ค.ศ. 1926 ถึง 1930 เขาทำงานเป็น "อาจารย์อิสระ" ("Privatdozent" เป็นตำแหน่งในระบบมหาวิทยาลัยยุโรป สำหรับผู้ที่ต้องการจะเป็นศาสตราจารย์มหาวิทยาลัย ตำแหน่งนี้ไม่มีเงินเดือนประจำ) โดยในขณะนั้นเขาเป็นอาจารย์อิสระที่อายุน้อยที่สุดมหาวิทยาลัยเบอร์ลิน ประเทศเยอรมนีในปี ค.ศ. 1930 นอยมันน์ได้รับเชิญให้ไปยังเมืองพรินซ์ตัน, รัฐนิวเจอร์ซีย์ และได้เป็นหนึ่งในหกบุคคล (J. W. Alexander, อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, Marston Morse, Oswald Veblen, จอห์น ฟอน นอยมันน์ และ Hermann Weyl) ที่ถูกคัดเลือกเพื่อเป็นอาจารย์ประจำชุดแรกของ Institute for Advanced Study เขาเป็นศาสตราจารย์คณิตศาสตร์ที่นั่น ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสาขาวิชาในปี ค.ศ. 1933 จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิตเขา.

Dr.Ted Hoff




         นักออกแบบวงจร แห่งบริษัทอินเทล (Intel Corporation) ได้พัฒนาชิพที่มีขนาดเล็กมาก จึงได้ชื่อว่าไมโครโพรเซสเซอร์
 ชื่อรุ่นคือ Intel 4004 เป็นหน่วยประมวลผลขนาดเล็กที่สามารถโปรแกรมได้ คอมพิวเตอร์ที่ใช้ชิพขนาดเล็กนี้เจึงถูกรียกว่าไมโครคอมพิวเตอร์ด้วย

Steve Jobs & Steve Wazniak

      ปี 1970 วอซเนียกได้รู้จักกับสตีฟ จ๊อบส์ เนื่องจากมีงานฤดูร้อนในธุรกิจเดียวกัน และกลายเป็นเพื่อนกันในที่สุด จ๊อบส์และวอซเนียกได้ขายทรัพย์สินบางส่วนได้เงินประมาณ 1,300 เหรียญ และได้ร่วมกันประกอบคอมพิวเตอร์ต้นแบบซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของแอปเปิ้ล    ปี 1980 แอปเปิ้ลเป็นที่โด่งดังและทำให้จ๊อบส์และวอซเนียกกลายเป็นมหาเศรษฐี โดยสตีฟ จ๊อบส์ได้อนุญาตที่จะให้พนักงานบางส่วนของได้ซื้อหุ้นของ Apple ดั้งนั้นวอซเนียกจึงตัดสินใจที่จะแบ่งหุ้นส่วนหนึ่งขายไป         ปี 1983 เขาตัดสินใจ
กลับไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้กับแอปเปิ้ล แต่เขาไม่ต้องการบทบาทในบริษัทฯมากไปกว่าของวิศวกรคอมพิวเตอร์

Bill Gates

File:Bill Gates in WEF ,2007.jpg


               
      บิล เกตส์ เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกัน และหนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทไมโครซอฟท์ เขากับผู้บุกเบิกด้านคอมพิวเตอร์ ส่วนบุคคลคนอื่น ๆ ได้ร่วมกันเขียนต้นแบบของภาษาอัลแตร์เบสซึ่งเป็นอินเตอร์เพรเตอร์สำหรับเครื่องอัลแตร์ 8800 (เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในยุคแรกๆ) เขาได้ร่วมกับพอล แอลเลน ก่อตั้งไมโครซอฟท์ คอร์ปอเรชันขึ้น ซึ่งในขณะนี้เขาดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหาร และหัวหน้าสถาปนิกซอฟต์แวร์ นิตยสารฟอบส์ได้จัดอันดับให้ บิล เกตส์ เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

วันอังคารที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ถ้ำพุงช้าง

""  ยินดีต้อนรับ  ""



        เมื่อพูดถึง "พังงา" นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติส่วนใหญ่มักจะรู้จักจังหวัดนี้
ในแง่มุมของแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลอันลือชื่อ ไม่ว่าจะเป็น หมู่เกาะสุรินทร์ หมู่เกาะสิมิลัน ทะเลเขาหลัก หรืออ่าวพังงา แต่หากได้ทำความรู้จักกับพังงาอย่างลึกซึ้ง ก็จะรู้ว่าพังงาไม่ได้มีดีเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวทางทะเลเท่านั้น แต่พังงายังมีสถานที่เที่ยวทางบก(บนฝั่ง)ที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง ทั้งภูเขา น้ำตก
 ป่าไพร รวมถึงถ้ำที่มีความน่าสนใจในระดับอันซีนไทยแลนด์ อย่าง "ถ้ำพุงช้าง"



                                                              "ผู้ค้นพบถ้ำพุงช้างครับ"


          ตำนาน  เล่าว่า ตายมดึงผู้ร่อนเร่พเนจรได้ขออาศัยอยู่กับ ตาโจงโดง ตายมดึงเป็นคนขยัน ตาโจงโดง จึงยกลูกสาวชื่อนางทองตึง ให้เป็นภรรยา สองสามีภรรยาจึงออกมาตั้งเนื้อตั้งด้วยการทำสวนทำไร่ แต่ขณะไร่นาได้ผลกลับมีช้างป่าโขลงหนึ่ง มาเหยียบย่ำทำลายหมด ตายมดึงเสียดายและโกรธมาก จึงถือหอกเป็นอาวุธตามล่าช้างโขลงนั้น  แต่ ตายมดึงกลับไปเจอช้างของตางุ้ม ตายมดึงเข้าใจว่าเป็นช้างป่าที่มากินพืชผลของตน จึงฆ่าช้างเชือกนั้นตาย โดยการใช้หอกทะลวงแทงที่ท้อง ลากตับไตไส้พุงเอามาทำอาหารกินและตัดงาออกด้วย ช้างที่ไร้ความผิดนั้นตาย แต่ด้วยอนุภาพของความดีของช้างเชือกนั้น จึงกลายมาเป็น "เขาช้าง" โดยนัยว่าจะประท้วงคนที่ฆ่า เพื่อบอกให้รู้ว่าตนเองนั้นไม่ผิดและรูที่ถูกหอกทะลวงแทงที่ท้องช้างตางุ้ม ก็กลายเป็น "ถ้ำพุงช้าง" ส่วนงาของช้างตางุ้ม ที่ถูกตายมดึงตัดไปนั้น ถูกนำไปพิงไว้ที่ "เขาพิงกัน "ส่วน ตางุ้ม เจ้าของช้างที่ไร้ความผิดว่ากันว่าเป็นเจ้าของช้างเมื่อช้างของตนหายไปก็ออกตามหา และมาพบว่าช้างตนถูกตายมดึงฆ่าตายแล้ว ตางุ้มก็นั่งตรอมใจร้องไห้จนตายกลายเป็น "เขาตางุ้ม" ใกล้ ๆ กับซากช้างนั่นเอง อยู่ห่างจากเขาช้างประมาณ 1 ก.ม.




            
                                      รูปปั้นเหมือน "ตายมดึง" พร้อมอาวุธคู่กายที่ฆ่าช้างตางุ้ม 


          อาถรรพ์!!! ของเขาช้างที่เกี่ยวพันกับงาช้างคู่ที่วางไว้ในห้องทำงานผู้ว่าฯไว้ว่า
ปี 2506 เวลา 06.00 น. ขณะนั้นการทำเหมืองแร่ดีบุกในจังหวัดพังงาโดยเรือขุดนั้นยังมีอยู่ และทุกเช้าเวลาดังกล่าวเรือขุดแร่ดีบุกจะเปิดโหวดเพื่อให้คนงานเตรียมตัวลงทำงาน เช้าวันนั้นระหว่างที่เรือขุดเปิดโหวดอยู่นั้น ก็ปรากฏว่าหินจากภูเขาช้างก็ถล่มลงมาที่ปากถ้ำพุงช้างจำนวน เกือบ 10ก้อน ก้อนหนึ่งหนักประมาณ 50-60 กิโลกรัมจนเป็นที่แปลกใจของชาวบ้าน และ 2 ก้อนในจำนวน 10 ก้อนนั้นก็กระเด็นไกลมาถึงกอไม้ไผ่หลังจวนผู้ว่าฯซึ่งระยะห่างกันถึง 1กิโลเมตร จากอาถรรพ์ดังกล่าวนั้น ต่อมาทราบว่างาช้างคู่ที่ประดับอยู่ในห้องทำงานผู้ว่าฯถึงทุกวันนี้ แต่เดิมประดับอยู่ที่จวนผู้ว่าฯและว่ากันว่ามีข้าราชการระดับสูงขโมยเพื่อนำไปยังกรุงเทพฯ จึงได้เกิดเภทภัยขึ้น และขณะที่คนขโมยและคนขับรถเดินทางตามถนนเพชรเกษมไปถึงอำเภอตะกั่วป่า ก็ได้เกิดหมอกลงอย่างหนาแน่นจนไม่สามรถขับรถต่อไปได้ จึงคิดได้ว่าน่าจะเป็นเพราะงาช้างคู่นี้ จึงได้นำกลับมาไว้ยังที่เดิม แล้วทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ ชาวบ้านชาวเมืองพังงาจึงเชื่อว่างาช้างคู่ดังกล่าวนี้เป็นงาช้างศักดิ์สิทธิคู่บ้านคู่เมือง        
                                              
                                                   แล้ว มาเที่ยว ถ้ำพุงช้างกันนะคร้บ ^_^


ขอขอบภาพเเละข้อมูลจาก





วันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เเนะนำตัว



 ""Welcome""


สวัสดีครับ          กะผม ชื่อนายวุฒิชัย โบบทอง

ชื่อเล่น               รุจคับ ;)

อายุ                    18 ปี.

เเจกเบอร์คับ       081-9580704  ^^ โทมาน๊า

วันรับของขวัญ   วันอังคาร  ที่  19  กรกฎาคม พ.ศ.2537

จบจาก               โรงเรียนทับปุดวิทยา จังหวัดพังงา

กำลังศึกษาอยู่    คณะวิทยาการจัดการ สาขาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ มหาวิทยาลัยราชภัฏเก็ต
      
                            อยู่บ้านเลขที่ 33/6 ม.1 ต.มะรุ่ย อ.ทับปุด จ.พังงา 82180